ภาพประกอบที่ 6 องค์ประกอบที่มีความรู้ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
วงกลมชั้นที่ 1 องค์ประกอบที่มีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อยู่ใจ ภาพ
เป็นจุดศูนย์รวมของกิจกรรมทุกอย่างในชั้นเรียนและในโรงเรียน
การเรียนรู้ของผู้เรียนได้รับ 2. พลโดยตรงจากองค์ประกอบที่อยู่ในวงกลมชั้นที่
ประกอบด้วยหลักสูตร-เนื้อหาของสิ่งที่สอน วิธีการ สอนที่ใช้
และการวัดผล(แบบวินิจฉัยการเรียนรู้ของผู้เรียน
Glickman (1998) เสนอแนะว่า
ให้ดูจุดศูนย์กลางของวงกลมต่างๆ ที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกัน ศูนย์กลาง คือเป้าหมาย
วงกลมในสุดเป็นความพยายามของชั้นเรียนและโรงเรียนที่จะพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้
เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนทุกคน วงกลมชั้นที่ 1 การเรียนรู้ของผู้เรียนสัมพันธ์กันโดยตรงกับ
เนื้อหาที่นํามาสอน วิธีการสอน และกลวิธีที่นํามาใช้ในการประเมิน
วงกลมชั้นที่ 2 องค์ประกอบซึ่งจัดระบบภาระงานของผู้นํา (การเรียนรู้ ที่ทําต่อครูผู้สอน
ซึ่งการ ปรับปรุงการสอนในชั้นเรียนประกอบด้วย จุดมุ่งเน้น
(ต้องใส่ใจในเรื่องใดบ้างในการปรับปรุงการสอน การ สังเกตชั้นเรียน และการใช้ข้อมูล
ผลสัมฤทธิ์ และการพิจารณาตัวอย่างชิ้นงานของผู้เรียน) แนวทางที่จะทํา ร่วมกับครู
และโครงสร้างและรูปแบบ เพื่อจัดระบบภาระงานการปรับปรุงการสอน
จากภาพวงกลมชั้นที่ 2 จุดศูนย์กลางเดียวกันกับวงกลมแรกเพื่อพัฒนาคุณภาพการสอนในชั้นเรียน
มุ่งที่จุดเน้นที่ผู้สอนกําหนดให้เป็นเป้าหมายการเรียนรู้
ต่อมาพิจารณาแนวทาง-วิธีการดําเนินการระหว่าง บุคคล(วิธีการสั่งการและควบคุม
วิธีการสั่งการและให้ข้อมูล วิธีการแบบร่วมคิดร่วมทํา และวิธีไม่สั่งการ) ซึ่ง
จะใช้กับครูที่จัดการสอนในชั้นเรียนโดยตรง และโครงสร้างและรูปแบบของวิธีการต่าง ๆ
ได้แก่ การนิเทศ แบบคลินิก เพื่อแนะเพื่อน เพื่อผู้ติชม
และกลุ่มวิจัยเชิงปฏิบัติการตามตารางที่กําหนดพร้อมสิ่งอํานวยความสะดวก
วงกลมชั้นที่ 3 องค์ประกอบซึ่งส่งเสริมให้การดําเนินงานครอบคลุมบริบทการปรับปรุงการสอน
ประกอบด้วย ลําดับความสําคัญในการปรับปรุงโรงเรียน
ที่ได้จากวิสัยทัศน์ของโรงเรียนและความจําเป็น กวนในการพัฒนาโรงเรียน
แผนการพัฒนาวิชาชีพ ทรัพยากรและระยะเวลา และการประเมินผลวิธีการ
และสิ่งที่ผู้เรียนกําลังเรียนอยู่
และวิธีการใช้ข้อมูลจากการประเมินเป็นแนวทางในการดําเนินงานจําเป็นเร่งด่วนของโรงเรียนต่อไป
จากภาพวงกลมชั้นที่ 3 อิทธิพลที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ
กระบวนการปฏิรูปการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งหมดที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นลําดับ " มสําคัญในการปรับปรุงโรงเรียน
ถัดมาเป็นการพัฒนาด้านวิชาชีพครู
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานมุ่งไปที่ครูทุกคนและสุดท้ายการประเมินผลทั้งการประเมินระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ของผู้เรียนทั้งหมด
ภาพประกอบที่ 7 การทําความเข้าใจ การทบทวนตนเองหลังการสอน ผลลัพธ์ที่มีคุณค่า
รูปแบบการสะท้อนความคิดนี้
มีลักษณะเด่น 4 ประการ คือ
เป็นวงจรมีความยืดหยุ่น มีประเด็น เน้น และมีลักษณะเป็นองค์รวม
1. มีลักษณะเป็นวงจร
การทบทวนตนเองและการปฏิบัติเป็นกระบวนการที่ดําเนินต่อเนื่อง เป็นวงจร
เมื่อกระบวนการเริ่มแล้วจะไม่มีการถอยหลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้น
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ การ ทบทวนตนเองหลังการสอน
จะนําเราไปสู่วงจรใหม่ที่ปรับปรุงแล้วต่อไป
2. มีความยืดหยุ่น
รูปแบบที่จะนําใช้จําเป็นจะต้องมีความยืดหยุ่น จะต้องไม่เป็นแบบที่มีลักร
เป็นขั้นตอน เหตุผลที่เป็นเช่นนี้มีอยู่ 2 ประการ
คือ
ประการแรก
การทบทวนตนเองหลังการสอนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น
ครูคนหนึ่งอาจจะเริ่มต้นเมื่อเกิดความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถใช้วิธีการที่ตนเอง
ต้องการเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้
เนื่องจากเพื่อนร่วมงานมีความเห็น แตกต่างกันออกไป
พวกเขาไม่เข้าใจว่าวิธีการนี้จะใช้ให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร
ครูอีกคนหนึ่งอาจคิดทบทวนสิ่งซึ่งเขาได้ทดลองใช้กับนักเรียนของเขา
(งานเขียนซึ่งครู และนักเรียนทําร่วมกัน) และคิดว่าเหตุใดจึงไม่ได้ผล
ครูอีกคนหนึ่งอาจเริ่มจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าจําเป็นต้องใช้(เขาต้องการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน)แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหามาได้
ครูอีกคนหนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ
ในชนบทอาจต้องการสร้างความสัมพันธ์กับโรงเรียนอื่นอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
ตลอดจนกับธุรกิจต่าง ๆ หรือบริษัทห้างร้านในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
จุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันจากค่านิยมของครูและวิธีการทํางานของครู
ในการที่จะผลักดันสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น และ ปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
หรือค่านิยมเกี่ยวกับโรงเรียนในชุมชนที่กว้างขึ้น
ประการที่สอง
รูปแบบการทบทวนตนเองต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้
การปรับปรุงการเรียนการสอนไม่จําเป็นต้องดําเนินไปในรูปแบบที่คงที่
และมีขั้นตอนเป็นลําดับ เช่น
ครูคนหนึ่งอาจเลือกที่จะทบทวนวิธีการสอนของเขาก่อน
สิ่งหนึ่งที่เขาอาจจะเรียนรู้จาก การทบทวนตนเองก็คือ
เขาเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดเองทําเองน้อยเกินไป เขามักจะคอยชี้แนะควบคุม และ
สอนหรือบอกเด็กตรง ๆ เมื่อรู้เช่นนี้เขาอาจลองทบทวนค่านิยมหรือความเชื่อของตนเอง
(หากต้องการ เปลี่ยนแปลงวิธีสอน)
แล้วหลังจากนั้นอาจจะทบทวนต่อไปว่าจะปรับปรุงการสอนและการเรียนรู้ของเด็ก อย่างไร
ครูคนอื่นอาจจะเริ่มที่การทบทวนถึงสภาวะแวดล้อมซึ่งก็คือโรงเรียนที่เขาสอน
โรงเรียน อาจจะตั้งอยู่ในย่านยากจนชานเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้ปกครองอาจจะไม่ค่อยมี ในกรณีเช่นนี้
ควรจะต้องมีการพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชน และโรงเรียนจะต้องเพิ่มบทบาทของตนเอง
ต้องหาเงิน เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาบุคลากร เป็นต้น จากการทบทวนสภาวะแวดล้อมอาจจะตามมาด้วยการพิจารณาว่าสภาวะ
แวดล้อมมีผลกระทบต่อการสอนได้อย่างไรบ้าง
ซึ่งอาจจะย้อนไปสู่เรื่องค่านิยมของครูและโรงเรียนใน ภาพรวม ดังนั้นค่านิยม
การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม จึงเป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องทบทวน ส่วน
ลําดับขั้นตอนในการคิดนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล
3. มีประเด็นที่เน้น
การมีความยืดหยุ่น มิได้หมายความว่าจะคิดวกวนอยู่กับปัญหาเกี่ยวกับการ
สอนหรือวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวโดยหวังว่าครูจะพบทางออกเอง
การคิดจะต้องมีประเด็นที่เน้นและมี ทิศทางเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย
ในการนี้ควรใช้รูปที่ 1.1 เป็นแผนที่เพื่อช่วยชี้ทิศทางและจํากัด
ความสนใจ รูปแบบดังกล่าวจะช่วยให้เห็นทิศทางโดยรอบ และเห็นหนทางต่าง ๆ
ที่อยู่เบื้องหน้าช่วยให้เข้าใจ คสาคัญทางการศึกษาที่จําเป็นจะต้องสํารวจ
รูปแบบนี้มีส่วนที่ควรจะพิจารณา4 จุด คือ ค่านิยม
การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม โดยครูจะเลือกพิจารณาจุดใดก็ได้
ขึ้นอยู่กับความสนใจ แผนการพัฒนา อาชีพของตนเอง และปัญหาต่าง ๆ
4. มีลักษณะเป็นองค์รวม จากรูปนี้
เราจะมองเห็นการเรียนการสอนภาพรวม เห็นการเชื่อมโยง อมในวิชาชีพเข้ากับการปฏิบัติ
การเชื่อมโยงการสอนเข้ากับความตั้งใจของครูที่จะพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาอาชีพ
ทําให้ครูเห็นว่าไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปแบบนี้ทํางานอยู่ในสภาพหยุดการเปลี่ยนแป
เป็นการทํางานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงและมักจะมีความไม่แน่นอนรวมอยู่ด้วย
ภาพประกอบที่ 8 วัฏจักรการประเมินเพื่อพัฒนาประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้
การประเมินการเรียนรู้
จะต้องให้ข้อมูลย้อนกลับว่าการจัดการเรียนรู้บรรลุพันธกิจหรือไม่ มีความ
จําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เพื่อการบรรลุเป้าหมายของโปรแกรมการศึกษา
การประเมินเพื่อพัฒนา ประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้
Ghaye, T (1995) เสนอแนวคิดการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน
จะต้องพิจารณาคําถาม 5 ข้อ คือ
1. คําถามเกี่ยวกับเวลา
การปรับปรุงควรจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ผลของการปรับปรุงควรจะได้ผลอย่างชัดเจนเมื่อไร
2. คําถามเกี่ยวกับขนาดของงาน
ขอบเขตของการปรับปรุงควรมีขนาดเท่าไร
เพียงใด
ผู้เกี่ยวข้องมีกี่คน
จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
ผลของการปรับปรุงที่คาดการณ์ไว้มีลักษณะอย่างไร
มีความสําคัญเพียงใด และให้ผลอะไร ในด้านการศึกษา
3. คําถามเกี่ยวกับความไม่แน่นอน
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่
ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม การปฏิบัติ แรงจูงใจ หรือ ทิศทางใหม่เป็นการปรับปรุงจริงๆ
จะตรวจสอบจากหลักฐานใดว่ามีการปรับปรุงเกิดขึ้นแล้ว
มีความเข้าใจในความเกี่ยวโยงกันระหว่างสิ่งที่รู้สึกว่าพัฒนาแล้วกับการพัฒนาที่ชัดเจน
เมื่อ มองในแง่ของคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน
การพัฒนาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจริง
หรือเป็นเพียงจินตนาการ
4. คําถามเกี่ยวกับการเมืองในโรงเรียน
การเมืองในโรงเรียนมีความสําคัญต่อความพยายามในการปรับปรุง
เนื่องจากการปรับปรุงมี แนวคิดพื้นฐานมาจากค่านิยมและเป็นกระบวนการที่มีระบบ
บุคคลในองค์กรจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และต้องการที่จะปฏิบัติตามแนวคิดของตน
การเข้าใจการเมืองที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการปรับปรุง
เท่ากับยอมรับว่าในโรงเรียนย่อมมีการช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์
การทบทวนจะทําให้เกิดคําถาม เชิงการเมือง เพราะการปรับปรุงเกี่ยวกับ “ผลประโยชน์” “อํานาจ” และการแก้ปัญหาเรื่อง
ความขัดแย้ง เมื่อมี การปรับปรุง คําถามคือ ใครจะได้ผลประโยชน์อะไร ที่ไหน อย่างไร
เมื่อไร และเพราะเหตุใด
5. คําถามเกี่ยวกับการลงลึกในการปฏิบัติการ
ถ้าการปรับปรุงมีจุดอ่อนและมีแรงกดดันจากภายนอก
การปรับปรุงก็จะมีลักษณะฉาบฉวย จนทําให้ละเลยสิ่งที่เป็นรากฐานที่ควรให้ความสนใจ
สิ่งสําคัญจะต้องทําความเข้าใจว่า การปรับปรุงโรงเรียน
และการปฏิรูปในโรงเรียนแตกต่างกัน โดยที่การปฏิรูปมีผลลึกซึ้งและเป็นการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาที่มีผลกระทบต่อทุกคนในองค์กร
การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งนี้
มักจะเกิดจากการรปรับปรุงโครงสร้างและอิทธิพลทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
การเน้นที่การพัฒนาภายในมากเกินไปจะไม่นําไปสู่การปธรรมโรงเรียน
ภาพประกอบที่
9
วัฏจักรการประเมินการเรียนรู้
การประเมินที่ประสบความสําเร็จจะต้องมีความชัดเจนของจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายในการเรียนรู้
เป็นข้อความเกี่ยวกับการศึกษาที่แสดงถึงความมุ่งมั่น/เจตนาที่ตั้ง เกิดขึ้น เช่น
ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะด้านการสร้างสรรค์และ
นวัตกรรม เป็นต้น
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เป็นข้อความที่มีความเฉพาะให้รายละเอียดที่ได้มาจากจุดมุ่งหมาย
ใช้เขียน บรรยายพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องกระทํา เช่น
ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถในการรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อนําไปใช้ในการตัดสินใจ ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล
ผลการเรียนรู้
เป็นชุดรายละเอียดที่ผู้เรียนสามารปฏิบัติได้หลังจากได้เรียนในรายวิชา หรือหน่วย
การเรียนในหลักสูตรรายวิชา
ผลการเรียนรู้จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสําเร็จขั้นต่ําของผู้เรียนที่แสดง
ออกเป็นรูปธรรมได้
ความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์
และผลการเรียนรู้ เขียนในรูปวัฏจักรการประเมินการ เรียนรู้
ภาพประกอบที่ 10 แนวทางการประเมินการเรียนรู้ตามแนวคิด Outcome Driven Model
รูปแบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดOutcome
Driven Model
การตรวจสอบความเข้าใจ และการสรุปความรู้
ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการเรียนรู้ ใช้แนวทางการประเมินการเรียนรู้
ตามแนวคิด Outcome Driven Model
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น